หลายคนเลือกลงทุนกับ ‘หวย’ เพราะหวังเงินรางวัล และมีโอกาสลุ้นทุกๆ 15 วัน แต่วิธีการนี้ก็ยากกว่าจะได้เงินก้อน…มาลองเปลี่ยนนำเงินไปลงทุนใน ‘กองทุนรวม’ แทนสิ!! ช่วยสร้างเงินก้อนได้เหมือนกัน แถมมีโอกาสที่มากกว่า

ว่าด้วยเรื่อง “โชคลาภ” ถือเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องแรกใครหลายคนต้องนึกถึงหรือเป็นที่แพร่หลายรู้จักในวงกว้างของคนไทยก็คงเป็นเรื่อง “หวย” หรือ “สลากกินแบ่งรัฐบาล” นั่นเอง เป็นโชคลาภที่จะโคจรมาให้เราได้เสี่ยงโชคกันเดือนละ 2 ครั้ง (ทุกวันที่ 1 กับ 16) ถือเป็น “วันเสี่ยงโชคแห่งชาติ” ก็คงไม่ผิดนัก

โดยสิ่งที่ทำให้ “หวย” ได้รับความนิยมและเป็นที่แพร่หลายในหมู่คนไทย ก็คงเป็นเรื่องของ “เงินรางวัล” หรือในทางการลงทุนก็เรียกว่า “ผลตอบแทน” อันหอมหวานที่จะได้รับ หากมีการถูกรางวัล โดยที่ใช้เงินในจำนวนไม่มากนัก แค่รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท ก็มีเสน่ห์ที่ยั่วยวนให้ลงทุน ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลใบละ 80 บาท  แต่ก็นั่นแหละนะ ถูกขึ้นมานี่…25 เท่า เลยนะ (ฝันหวานไปตามๆ กัน)

“แต่อย่าลืมมองมุมกลับด้วย นี่คือการเล่นแบบ ‘ได้-เสีย’ กรณีเลขท้าย 2 ตัว อัพไซด์ 25 เท่า แต่ถ้าไม่ถูกเท่ากับศูนย์ แล้วถามจริงเล่นหวยมาใน 1 ปี 24 งวด เคยถูกรางวัลกันบ้างมั้ย? 1 ปี สั้นไป 10 ปีที่ผ่านมา ใน 240 งวด คุณเคยถูกรางวัลกี่ครั้ง? จำกันได้ไหมเอ่ย?”

ซึ่งพูดมาถึงตรงนี้..ทุกคนอาจจะคิดว่า มันก็ “คุ้มค่าที่จะเสี่ยงโชค” ไม่น้อยเพื่อให้ได้เงินก้อนหรือผลตอบแทนที่สูงในระยะเวลาอันสั้น แต่หากเรามาพูดถึง “ความน่าจะเป็น” เชิงตัวเลขโอกาสในการที่จะถูก “รางวัลเลขท้าย 2 ตัว” ก็ไม่ง่ายแล้ว

พบว่ามีความน่าจะเป็นคือ 1 ใน 100 หรือ 1% เท่านั้นเอง เข้าใจง่ายๆ ว่าต้องซื้อถึง 100 งวด ถึงจะมีโอกาสถูกรางวัล 1 ครั้ง ซึ่ง 1 ปี มีโอกาสให้เราได้ลุ้นรางวัลอยู่ 24 งวด ในอีกความหมายก็คือในทุกๆ 4 ปี 1 เดือน เรามีโอกาสถูกหวย 1 ครั้ง แต่การคำนวณดังกล่าวก็ไม่ใช่สูตรตายตัวและไม่ได้การันตีเสมอไปว่าเป็นไปตามที่คิดแต่ประการใด เป็นแค่โอกาสของ “ความน่าจะเป็น” เท่านั้น สำหรับโอกาสที่จะได้รางวัล แต่โอกาสหมดเงินเป็นศูนย์ในแต่ละงวดเกิดขึ้นได้ง่ายกว่ามากเลยทีเดียว

“รู้หรือไม่?…คนที่ถูกหวย ‘รางวัลที่1’ แล้วกลายเป็น ‘เศรษฐีเงินล้าน’ ในชั่วข้ามคืน เป็นโอกาสที่มีแค่ 0.0001% เท่านั้น จากการคำนวณทางสถิติ ซึ่งน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่โอกาสของคนส่วนใหญ่คือ โอกาสที่จะไม่ถูกรางวัลใดๆ เลยที่มีมากถึง 98.6% (ที่นี้…คุณคงเข้าใจแล้วว่า ทำไม…เสี่ยงโชคมานานถึงไม่เคยถูกกับเขาเลย) ส่วนโอกาสที่คุณซื้อหวยแล้วจะถูกรางวัลใดรางวัลหนึ่งมีแค่เพียง 1.4% เท่านั้น โอกาสน้อยยิ่งกว่าทาย ‘หัว-ก้อย’ เสียอีก”

เมื่อโอกาสไม่ถูกรางวัลมีมากกว่า หรือภาษาบ้านๆ ที่เรียกกันว่า “ถูกรับประทาน” ก็จะทำให้เราเสียเงินดังกล่าวไปทั้งหมดถ้าจะพูดให้ถูกมันก็คือ การเสียเงินต้นทั้งหมดที่เราได้ลงทุน ซึ่งบางคนก็อาจจะไม่ได้ซีเรียสกับจำนวนดังกล่าวมากนักเพราะด้วยจำนวนเงินที่ซื้อแต่ละครั้งก็ไม่ได้สูงมากนัก แต่ถ้าคิดดูดีๆ เมื่อนำเงินน้อยๆ ที่ซื้อแต่ละงวดมารวมกันแล้วก็เป็นเงินไม่ใช่น้อยเช่นกัน

ตัวอย่าง ซื้อหวยงวดละ 500 บาท เดือนละ 2 งวด ก็ตกเดือนละ 1,000 บาท ใน 1 ปี จะเสียเงินไปกับหวย 12,000 บาท หรือใน 10 ปี หมดไป 120,000 บาท เลยทีเดียว ซึ่งยังไม่รู้ว่าคุณจะถูกรางวัลสักกี่ครั้งและจะเป็นรางวัลที่1 อย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่อีกด้วย เสมือนหนึ่งเงินจ่ายทิ้งก็คงไม่ผิดนัก

หากลองเปลี่ยนเอาเงินที่จะซื้อหวยนั้น มา “เก็บออม” เอาไว้แทน ใน 1 เดือนจะเก็บได้ 1,000 บาท ใน 1 ปีเก็บได้ 12,000 บาท และใน 10 ปี เก็บได้ 120,000 บาท เปลี่ยนเป็นเงินที่มาอยู่กับคุณในทันที!!!

และหากคุณนำเงินที่เก็บนั้นไปต่อยอด “ลงทุน” ในสินทรัพย์อย่าง “ตราสารทุน” หรือ “หุ้น” ซึ่งเป็นกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงผ่าน “กองทุนหุ้น” โดยใช้การลงทุนเดือนละเท่าๆ กัน ที่เราอาจจะคุ้นหูในชื่อเรียกว่า DCA” หรือ Dollar Cost Average” หรือพูดง่ายๆ มันคือการออมในหุ้นนั่นเอง ก็จะทำให้เงินของคุณมีโอกาสงอกเงยเติบโตเพิ่มเติมความมั่งคั่งขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย

“ด้วยการเปลี่ยนเงินซื้อหวยมาลงทุนเดือนละ 1,000 บาท ผ่าน ‘กองทุนหุ้นไทย’ ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.14% ต่อปี เป็นระยะเวลา 10 ปี เงินคุณมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 159,734 บาท (ที่มา: คำนวณจากผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุนหุ้นไทยย้อนหลัง 10 ปี ณ วันที่ 31 ธ.ค. 63) เพียงแค่เปลี่ยนจากการซื้อหวยเอามาเก็บออม แล้วนำไปลงทุนต่อยอดเท่านั้นเอง”

จึงไม่แปลกนักที่เราจะได้ยินวลีที่กล่าวกันว่า “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” เพราะด้วยข้อจำกัดบางประการในอดีต อาจทำให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้ไม่ง่ายนัก เช่น ต้องมีเงินเปิดพอร์ต เป็นต้น ทำให้ผู้ลงทุนรู้สึกว่าไม่สะดวกและอาจ “ได้ไม่คุ้มเสีย” จึงหันไปพึ่งโชคลาภผ่านการเล่นหวยแทน ทุกเดือนที่จะโคจรมาก็ทำให้เราได้ลุ้นรางวัลหลั่งฮอร์โมนความตื่นเต้นกันขึ้นมาบ้าง ซึ่งเป็นการหวังผลจากเหตุไม่พึงหวัง

แต่ปัจจุบัน..ด้วยเครื่องมืออย่าง “กองทุนรวม” ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องที่ง่ายและใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์การลงทุนประเภทใดก็ตาม รวมทั้ง “กองทุนหุ้น” ทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งรวมถึงการปลดล็อกด้านจำนวนเงินในการลงทุนด้วยเช่นกัน เพราะในปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางแห่งก็ได้ทำให้การลงทุนกองทุนรวมบางประเภทก็เข้าถึงได้ด้วยเงินเพียง 1 บาทเท่านั้น หรือบางกองทุนก็ไม่มีการกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำให้มากวนใจนักลงทุนอีกด้วย ทำให้การจะลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมเป็นไปได้และใช้เงินไม่มาก ไม่ใช่เรื่องที่พูดได้แต่ปฏิบัติไม่ได้อีกต่อไป

“สุดท้ายนี้..อยู่ที่ตัวคุณเองแล้วล่ะ ว่าจะเลือกเส้นทางไหนให้กับตัวเอง…ถ้าซื้อกี่งวด ก็ชวดทุกที แต่อยากจะมีเงินแสนให้ชื่นใจบ้าง มาลองเปลี่ยน ‘หวย’ เป็น ‘กองทุนรวม’ ดู เปลี่ยนเส้นทางที่เสียมากกว่าได้ มาสู่เส้นทางของการเก็บออมต่อยอดการลงทุนเพื่อปูทางสู่ความมั่งคั่งด้วยตัวคุณเอง อย่าลืมว่าปัจจุบัน ‘กองทุนรวม’ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ในการสร้างความมั่งคั่งแบบมีลุ้นที่นักลงทุนหรือผู้คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้ง่ายไม่ต่างจาก ‘หวย’ นั่นเอง”

กองทุนที่น่าสนใจในบลน.แอสเซนด์ เวลธ์ 

1. K-STAR-A(A)

  • จุดประสงค์การลงทุน เน้นลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดีที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว เพื่อมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอ พร้อมทั้งจับจังหวะในการปรับเปลี่ยนสัดส่วนน้ำหนักรายกลุ่มอุตสาหกรรม และสัดส่วนการถือครองเงินสด ในสถานการณ์ตลาดที่อำนวยเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะสั้น
    เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และยอมรับความผันผวนของราคาหุ้นได้
  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ไม่จ่ายปันผล (กรณีต้องการรายได้ประจำ สามารถเลือกลงทุนใน K-STAR-A(R) ที่มีนโยบายขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ)
  • ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 500 บาท

2. KKP GNP-H

  • จุดประสงค์การลงทุน เพิ่มโอกาสเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว ด้วยการเน้นการลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยจะลงทุนในกองทุนหลักคือ Capital Group New Perspective Fund
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินต่างประเทศไม่น้อยกว่า 90%
  • ระดับความเสี่ยง 6
  • ไม่จ่ายปันผล
  • ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 100 บาท

3. KFHTECH-A

  • จุดประสงค์การลงทุน นำเงินไปลงทุนกองทุนหลัก BGF World Technology Fund (Class D2 USD) โดยกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่างๆ ทั่วโลกที่มีธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในหมวดเทคโนโลยี
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินต่างประเทศไม่น้อยกว่า 90%
  • ระดับความเสี่ยง 7
  • ไม่จ่ายปันผล
  • ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 500 บาท

คำเตือน

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า(กองทุน) เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลของกองทุนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงาน ของกองทุนรวมที่เปิดเผยไว้ในแหล่งต่าง ๆ ก่อนการตัดสินใจลงทุน
  • ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

หากสนใจซื้อกองทุนดังกล่าว สามารถเปิดบัญชี และซื้อกองทุนได้ทันทีกับบลน.แอสเซนด์ เวลธ์

รายละเอียดเพิ่มเติม  >> ซื้อกองทุนกับบลน.แอสเซนด์ เวลธ์

ซื้อกองทุนกับบลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัดปลอดภัยหรือไม่ (กองทุน)
กองทุนรวมโดยบลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด คือ บริการซื้อขายกองทุนรวม ซึ่งลูกค้าสามารถเปิดบัญชีลงทุนได้ง่ายๆ ผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท โดยไม่ต้องใช้เอกสารให้ยุ่งยาก (Paperless) และลูกค้าสามารถซื้อ-ขาย กองทุนได้หลายบลจ. ซึ่งปลอดภัยแน่นอน เพราะเป็นบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน(กองทุน)ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง นอกจากนั้น ชื่อบัญชียังเป็นของลูกค้าเอง (Non Omnibus)

ข้อดีของการซื้อกองทุนผ่านบลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด 

  • สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ทุกที ตลอด 24 ชั่วโมง และดูพอร์ตการลงทุนได้ตลอดเวลา
  • ค่าธรรมเนียม ซื้อ-ขายเท่ากับซื้อตรงกับ บลจ.
  • เงินจากการขายกองทุนจะเข้าที่ทรูมันนี่ วอลเล็ท