ติดตามหุ้นกู้ใหม่ ได้เร็วๆ นี้
การจองซื้อหุ้นกู้
ชำระเงินผ่าน ทรูมันนี่
สะดวก
ไม่ต้องออกไปต่อคิวเปิดบัญชีที่ธนาคาร
ง่าย
เข้าถึงการจอง
ซื้อหุ้นกู้ได้ทันที
ปลอดภัย
ปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ตามหลักเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย
หุ้นกู้ ทำไมถึงน่าลงทุน?
หุ้นกู้คือตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง ที่ออกโดยบริษัท
ภาคเอกชนเพื่อระดมเงินทุนสำหรับใช้ในกิจการต่างๆ ของบริษัท
เช่น การขยายกิจการ ซื้ออุปกรณ์ หรือ สร้างโรงงาน เป็นต้น
|
แหล่งที่มา : บทความจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย คลิก
วิธีการจองซื้อหุ้นกู้
1. ดาวน์โหลด และสมัคร
แอป ทรูมันนี่
2. ยืนยันตัวตนบัญชีขั้นสูง ที่
7-Eleven
หรือ ตู้ทรูมันนี่ ที่ทรูช็อป/MRT
3. ผูกบัญชีธนาคาร รอไว้เลยเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการชำระเงิน
4. จองและจ่ายเงินค่าจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปได้ทันที เมื่อถึงวันเปิดจองซื้อหุ้นกู้
1. หน้าแรกแอป ทรูมันนี่
เลือกไอคอน ดูทั้งหมด
2. หัวข้อ การออมและการลงทุน
เลือกไอคอน จองซื้อหุ้นกู้
3. กรอกข้อมูลส่วนตัว
4. เลือกวิธีการรับหุ้นกู้
5. กรอกจำนวนเงิน ที่ต้องการจองซื้อ
(รายละเอียดการจองซื้อขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละหุ้นกู้)
6. ชำระค่าจองซื้อหุ้นกู้
7. คุณจองซื้อหุ้นกู้ สำเร็จ
1. หน้าแรกแอป ทรูมันนี่
เลือกไอคอน ดูทั้งหมด
2. หัวข้อ การออมและการลงทุน
เลือกไอคอน จองซื้อหุ้นกู้
3. หัวข้อ ตรวจสอบรายการหุ้นกู้ย้อนหลัง
เลือก ตรวจสอบรายการหุ้นกู้
4. ระบบจะแสดงและคำนวน
รายละเอียดหุ้นกู้ ของคุณ
หมายเหตุ : หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ผู้จองซื้อสามารถสอบถามกับนายทะเบียน โทร. 02-296-5695 เวลาทำการ วันจันทร์ – วันศุกร์ 8:30 น. – 17:30 น. เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือ บริษัทหลักทรัพย์ที่ทางลูกค้ารับหุ้นกู้
วิธี เตรียมตัว ก่อนจองซื้อหุ้นกู้
1. ดาวน์โหลด และสมัคร
แอป ทรูมันนี่
2. ยืนยันตัวตนบัญชีขั้นสูง ที่
7-Eleven
หรือ ตู้ทรูมันนี่ ที่ทรูช็อป/MRT
3. ผูกบัญชีธนาคาร รอไว้เลยเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการชำระเงิน
4. จองและจ่ายเงินค่าจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปได้ทันที เมื่อถึงวันเปิดจองซื้อหุ้นกู้
วิธี จองซื้อหุ้นกู้ ง่ายๆ ใน 6 ขั้นตอน
1. หน้าแรกแอป ทรูมันนี่
เลือกไอคอน ดูทั้งหมด
2. หัวข้อ การออมและการลงทุน
เลือกไอคอน จองซื้อหุ้นกู้
3. กรอกข้อมูลส่วนตัว
4. เลือกวิธีการรับหุ้นกู้
5. กรอกจำนวนเงิน ที่ต้องการจองซื้อ
(รายละเอียดการจองซื้อขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละหุ้นกู้)
6. ชำระค่าจองซื้อหุ้นกู้
7. คุณจองซื้อหุ้นกู้ สำเร็จ
วิธี ตรวจสอบ รายการหุ้นกู้
1. หน้าแรกแอป ทรูมันนี่
เลือกไอคอน ดูทั้งหมด
2. หัวข้อ การออมและการลงทุน
เลือกไอคอน จองซื้อหุ้นกู้
3. หัวข้อ ตรวจสอบรายการหุ้นกู้ย้อนหลัง
เลือก ตรวจสอบรายการหุ้นกู้
4. ระบบจะแสดงและคำนวน
รายละเอียดหุ้นกู้ ของคุณ
หมายเหตุ : หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ผู้จองซื้อสามารถสอบถามกับนายทะเบียน โทร. 02-296-5695 เวลาทำการ วันจันทร์ – วันศุกร์ 8:30 น. – 17:30 น. เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือ บริษัทหลักทรัพย์ที่ทางลูกค้ารับหุ้นกู้
ตรวจสอบรายการ
หุ้นกู้ย้อนหลัง
ตรวจสอบรายการหุ้นกู้ย้อนหลัง
ติดต่อนายทะเบียน ทีเอ็มบีธนชาต (ttb)
– โทร. 0-2299-1824 หรือ 0-2299-1830
– เวลาทำการ วันจันทร์ – วันศุกร์ 8:30 น. – 17:00 น.
– เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์
คำเตือน
- เพื่อความปลอดภัย การจองซื้อหุ้นกู้สามารถชำระเงินผ่านแอป ทรูมันนี่ เท่านั้น!
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th
คำถามที่พบบ่อย
การจองซื้อและชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นกู้บนแอปทรูมันนี่ ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบจองซื้อของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ (Underwriter) และชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นกู้บนแอปทรูมันนี่
– บุคคลสัญชาติไทย
– อายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (นับจากวันที่จองซื้อ)
– ผ่านการยืนยันตัวตนบัญชีขั้นสูง บนแอปทรูมันนี่
– บัตรประชาชนจะต้องไม่หมดอายุ
สำหรับ หุ้นกู้ที่เสนอขาย “ผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth)”
– บุคคลสัญชาติไทย
– อายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (นับจากวันที่จองซื้อ)
– ผ่านการยืนยันตัวตนบัญชีขั้นสูง บนแอปทรูมันนี่
– บัตรประชาชนจะต้องไม่หมดอายุ
– เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น
คือ บุคคลธรรมดาทั่วไป
นิยามของผู้ลงทุนรายใหญ่
ตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 39/2564
คือ บุคคลธรรมดา (รวมคู่สมรส) ที่มีคุณสมบัติด้านฐานะทางการเงิน ร่วมด้วยกับ คุณสมบัติด้านความรู้หรือประสบการณ์การลงทุน
คุณสมบัติด้านฐานะทางการเงิน (เข้าเงื่อนไข ข้อใดข้อหนึ่ง)
- รายได้ต่อปี ตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป
- เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ตั้งแต่ 8 ล้านบาทขึ้นไป (หรือ รวมเงินฝากตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป)
- สินทรัพย์สุทธิ ตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป (ไม่รวมที่พักอาศัยหลัก)
คุณสมบัติด้านความรู้หรือประสบการณ์การลงทุน (เข้าเงื่อนไข ข้อใดข้อหนึ่ง)
- ลงทุนย้อนหลังในสินทรัพย์เสี่ยงประจำและต่อเนื่อง
- มีประสบการณ์การทำงานด้านการบริหารการเงินและการลงทุน
- ผู้แนะนำการลงทุนหรือผู้วางแผนการลงทุน
- ได้รับวุฒิบัตรที่เกี่ยวกับการลงทุน หลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่ง ดังนี้
◦ Chartered Financial Analyst (CFA)
◦ Certified Investment and Securities Analyst (CISA)
◦ Chartered Alternative Investment Analyst (CAIA)
◦ Certified Financial Planner (CFP)
◦ หลักสูตรตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศกำหนด - ถือครองหลักทรัพย์ประเภทเดียวกับที่จะลงทุน
1. เลือกเมนู “ฉัน” ที่หน้าแรกของทรูมันนี่
2. เลือกหัวข้อ “ระดับบัญชีและการยืนยันตัวตน” หรือ คลิกที่นี่ เพื่อเข้าหน้าระดับการยืนยันตัวตนขั้นสูงในแอปทรูมันนี่
2.1 หากระดับบัญชี : “บัญชีขั้นสูง” แสดงว่าการยืนยันตัวตนขั้นสูงสำเร็จแล้ว และพร้อมสำหรับการจองซื้อหุ้นกู้
2.2 หากระดับบัญชี : “บัญชีขั้นต้น” แสดงว่าลูกค้าควรจะยืนยันตัวตนขั้นสูงด้วยการด้วยวิธีการเสียบบัตรประชาชนที่ 7-Eleven หรือตู้ทรูมันนี่
หากมีการยืนยันตัวตนสำหรับระดับบัญชีขั้นสูงแล้ว แต่ต้องการแก้ไปเปลี่ยนแปลงข้อมูล หรืออัพเดทข้อมูลในบัตรประชาชน ผู้ใช้สามารถทำได้ผ่าน 2 ช่องทาง คือ
1. ตู้ทรูมันนี่ (แนะนำ) : โดยลูกค้าสามารถขอแก้ไขข้อมูลและทำการยืนยันตัวตนใหม่โดยการเสียบบัตรประชาชนที่ตู้ทรูมันนี่ และสแกนใบหน้า โดยบัตรประชาชน จะต้องไม่หมดอายุ
2. 7-Eleven : โดยลูกค้าจะต้องโทรไป call center เพื่อขอลดเป็นบัญชีขั้นต้น และนำบัตรประชาชนไปทำการยืนยันตัวตนใหม่ พร้อมสแกนใบหน้า และอัพเดทข้อมูลอื่นๆ โดยบัตรประชาชน จะต้องไม่หมดอายุ
ติดต่อ TrueMoney Call Center
- โทร 1240 กด 8 (การลงทุน) กด 2 (หุ้นกู้)
- เปิดให้บริการทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) ตลอด 24 ชม.
ข่าวสารการจองซื้อหลักทรัพย์!
ความเสี่ยงของบริษัทและหุ้นกู้ที่ควรทราบ
ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นกู้ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ข่าวสารการจองซื้อหลักทรัพย์
ความเสี่ยงของบริษัทและหุ้นกู้ที่ควรทราบก่อนตัดสินใจลงทุน
- บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) เป็นบริษัทที่เกิดขึ้นจากการควบบริษัท ระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“ทรู (ก่อนการควบบริษัท)”) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (“ดีแทค”) ภายใต้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“พ.ร.บ. บริษัทมหาชน”) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 (“การควบบริษัท”) ซึ่งเป็นวันที่จดทะเบียนการควบบริษัทแล้วเสร็จ โดยบริษัทฯ ได้รับมาซึ่ง ทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทั้งหมดของทรูและดีแทคโดยผลของกฎหมาย
- ความเสี่ยงด้านข้อพิพาท: บริษัทฯ มีข้อพิพาทหลายคดีที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องและคดียังไม่สิ้นสุด โดยเมื่อนำมูลค่าความเสียหายจากคดีความที่สำคัญตามที่ผู้ฟ้องคดีเรียกร้อง ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2566 เทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 คิดเป็นประมาณร้อยละ 140 ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งผลที่สุดของข้อพิพาททางกฎหมายดังกล่าวยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยปัจจุบันบริษัทฯ ไม่ได้ตั้งสำรองทางบัญชีสำหรับรายการค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากรายการนี้ไว้ในงบการเงิน ดังนั้น จากข้อพิพาทต่างๆ หากผลที่สุดไม่เป็นคุณกับบริษัทฯ อาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงิน สภาพคล่อง และความสามารถในการชำระหนี้อย่างมีนัยสำคัญได้ โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2566 มีความคืบหน้าในการพิจารณาคดี ตามที่บริษัทฯ ได้เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนี้
1. ศาลปกครองสูงสุดได้มีคําสั่งให้ศาลปกครองกลางรับคําฟ้องที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ยื่นฟ้อง กสทช. เพื่อขอเพิกถอนมติ กสทช. ที่รับทราบการควบรวมธุรกิจระหว่างทรู และดีแทค ศาลปกครองกลางยังจะต้องพิจารณาประเด็นของคดีดังกล่าวต่อไปว่ามติรับทราบการควบรวมธุรกิจของกสทช. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และ
2. คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคําชี้ขาดให้บริษัทฯ ชําระผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่มจากรายได้ค่า IC (ส่วนต่างของผลประโยชน์ตอบแทนการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม หรือ Net IC) พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่มและเบี้ยปรับ เป็นจํานวนเงิน 7,066.96 ล้านบาท และเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินจำนวน 4,136.87 ล้านบาท (Net IC ไม่รวมเบี้ยปรับและภาษีมูลค่าเพิ่ม) นับถัดจากวันยื่นคำเสนอข้อพิพาท (22 ตุลาคม 2562) จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จํากัด (มหาชน) (“เอ็นที”) ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วไม่เห็นพ้องกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และบริษัทฯ จะยื่นคำร้องขอเพิกถอนคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครองกลางต่อไป - ความเสี่ยงจากการไม่มีข้อกำหนดด้านการเงิน (Financial Covenants): ว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ไม่ได้มีข้อกำหนดด้านการเงิน (Financial Covenants) ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีโอกาสก่อภาระหนี้ใหม่ได้โดยไม่จำกัดจนมีระดับสูงเกินความสามารถในการชำระหนี้ และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อกลุ่มบริษัทฯ และผู้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเงินกู้ยืม ณ 30 กันยายน 2566 จำนวน 364.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากจำนวน 353.7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 (ตามข้อมูลทางการเงินรวมเสมือน) จากการกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องรวมถึงสำหรับการจ่ายค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่
- ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านกฎเกณฑ์ การกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ: ซึ่งอาจทำให้การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้ ในส่วนของนโยบายการกำกับดูแลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (“ กสทช.”) นั้นมีผลต่อโครงสร้างและการแข่งขันของธุรกิจโทรคมนาคมโดยตรง ซึ่งอาจส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ ต้องแบกรับภาระต้นทุนการประกอบกิจการและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ กสทช. อีกด้วย
- ความเสี่ยงจากการชําระค่าใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่: กลุ่มบริษัทฯ มีหน้าที่ในการชำระค่าใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ที่ได้รับการจัดสรรจากกสทช. และการลงทุนในการขยายโครงข่ายโทรคมนาคมอย่างต่อเนื่องซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจํานวนมาก ทำให้บริษัทฯ มีภาระทางการเงินที่สูง
- ภาระหนี้สินหลักของกลุ่มฯ เป็นตราสารหนี้ ประมาณ 65% ของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย รวมหนี้สินภายใต้สัญญาเช่า ดังนั้นความสามารถในการชำระหนี้ตราสารหนี้ขึ้นกับศักยภาพในการ Refinance เป็นหลัก และขึ้นอยู่กับศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และสถานะการเงินชองบริษัทฯ
- วัตถุประสงค์การใช้เงินจากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกหุ้นกู้ และ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ความสัมพันธ์ระหว่าง TRUE กับ KGroup
- ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทย เป็นเจ้าหนี้ ไม่มีหลักประกันของ TRUE โดยระยะเวลาวงเงินอาจสั้นหรือยาวกว่าอายุของหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย กับ TRUE ในปัจจุบัน ไม่ผูกพันและไม่อาจเป็นการถือว่าธนาคารกสิกรไทยจะให้หรือไม่ให้สินเชื่อในอนาคต รวมถึงธนาคารกสิกรไทยมีสิทธิในการใช้สิทธิต่างๆ ตามสัญญาสินเชื่อ ซึ่งอาจเป็นคุณหรือไม่เป็นคุณกับผู้ลงทุนได้ นอกจากนี้ TRUE และ KBank มีกรรมการร่วมกัน 1 ท่าน คือ นาย กลินท์ สารสิน
- สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (“KS”) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (สำหรับการจอง การจัดจำหน่าย และการจัดสรรหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้ลงทุนสถาบัน) มีการถือหุ้นของ TRUE จำนวน 0.01073% ของจำนวนหุ้นชำระแล้ว เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจหลักทรัพย์ อย่างไรก็ดี TRUE และ KS ไม่มีกรรมการร่วมกัน (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2566)
ข้าพเจ้ารับทราบและเข้าใจความเสี่ยงตามที่ปรากฎใน Factsheet (แบบสรุปข้อมูลสำคัญของตราสารหนี้) หนังสือชี้ชวน และความเสี่ยงข้างต้นแล้ว และขอยืนยันว่าข้าพเจ้าได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ของ “หุ้นกู้ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ครั้งที่ 1/2567” และพร้อมรับความเสี่ยงในการลงทุน รวมถึงดูแลความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นกู้ได้ด้วยตนเอง
ข่าวสารการจองซื้อหลักทรัพย์
ความเสี่ยงของบริษัทและหุ้นกู้ที่ควรทราบก่อนตัดสินใจลงทุน
- บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) เป็นบริษัทที่เกิดขึ้นจากการควบบริษัท ระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“ทรู (ก่อนการควบบริษัท)”) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (“ดีแทค”) ภายใต้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“พ.ร.บ. บริษัทมหาชน”) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 (“การควบบริษัท”) ซึ่งเป็นวันที่จดทะเบียนการควบบริษัทแล้วเสร็จ โดยบริษัทฯ ได้รับมาซึ่ง ทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทั้งหมดของทรูและดีแทคโดยผลของกฎหมาย
- ความเสี่ยงด้านข้อพิพาท : ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 บริษัทฯ ยังมีข้อพิพาทหลายคดีที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องและคดียังไม่สิ้นสุด โดยมูลค่าความเสียหายจากคดีความที่สำคัญตามที่ผู้ฟ้องคดีเรียกร้องคิดเป็นประมาณร้อยละ 148 ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ซึ่งผลที่สุดของข้อพิพาททางกฎหมายดังกล่าวยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยปัจจุบันบริษัทฯ ไม่ได้ตั้งสำรองทางบัญชีสำหรับรายการค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากรายการนี้ไว้ในงบการเงิน ดังนั้น จากข้อพิพาทต่างๆ หากผลที่สุดไม่เป็นคุณกับบริษัทฯ อาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงิน สภาพคล่อง และความสามารถในการชำระหนี้อย่างมีนัยสำคัญได้ โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2566 มีความคืบหน้าในการพิจารณาคดี ตามที่บริษัทฯ ได้เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนี้
- ศาลปกครองสูงสุดได้มีคําสั่งให้ศาลปกครองกลางรับคําฟ้องที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ยื่นฟ้อง กสทช. เพื่อขอเพิกถอนมติ กสทช. ที่รับทราบการควบรวมธุรกิจระหว่างทรู และดีแทค ศาลปกครองกลางยังจะต้องพิจารณาประเด็นของคดีดังกล่าวต่อไปว่ามติรับทราบการควบรวมธุรกิจของกสทช. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และ
- คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคําชี้ขาดให้บริษัทฯ ชําระผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่มจากรายได้ค่า IC (ส่วนต่างของผลประโยชน์ตอบแทนการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม หรือ Net IC) พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่มและเบี้ยปรับ เป็นจํานวนเงิน 7,066.96 ล้านบาท และเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินจำนวน 4,136.87 ล้านบาท (Net IC ไม่รวมเบี้ยปรับและภาษีมูลค่าเพิ่ม) นับถัดจากวันยื่นคำเสนอข้อพิพาท (22 ตุลาคม 2562) จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จํากัด (มหาชน) (“เอ็นที”) ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วไม่เห็นพ้องกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และบริษัทฯ จะยื่นคำร้องขอเพิกถอนคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครองกลางต่อไป
- ความเสี่ยงจากการไม่มีข้อกำหนดด้านการเงิน (Financial Covenants) : ว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ไม่ได้มีข้อกำหนดด้านการเงิน (Financial Covenants) ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีโอกาสก่อภาระหนี้ใหม่ได้โดยไม่จำกัดจนมีระดับสูงเกินความสามารถในการชำระหนี้ และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อกลุ่มบริษัทฯ และผู้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเงินกู้ยืม ณ 30 มิถุนายน 2566 จำนวน 361.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากจำนวน 353.7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 (ตามข้อมูลทางการเงินรวมเสมือน) จากการกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องรวมถึงสำหรับการจ่ายค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่
- ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านกฎเกณฑ์ การกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ : ซึ่งอาจทำให้การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้ ในส่วนของนโยบายการกำกับดูแลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (“ กสทช.”) นั้นมีผลต่อโครงสร้างและการแข่งขันของธุรกิจโทรคมนาคมโดยตรง ซึ่งอาจส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ ต้องแบกรับภาระต้นทุนการประกอบกิจการและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ กสทช. อีกด้วย
- ความเสี่ยงจากการชําระค่าใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ : กลุ่มบริษัทฯ มีหน้าที่ในการชำระค่าใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ที่ได้รับการจัดสรรจากกสทช. และการลงทุนในการขยายโครงข่ายโทรคมนาคมอย่างต่อเนื่องซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจํานวนมาก ทำให้บริษัทฯ มีภาระทางการเงินที่สูง